บทที่ 3 ปิโตรเลียม’ CATEGORY
3.4 เชื้อเพลิงในชีวิตประจำวัน
CNG กับ NGV ต่างกันอย่างไร
CNG ย่อมาจาก Compressed Natural Gas คือ ก๊าซธรรมชาติที่มี ”มีเทน(CH4)” เป็นส่วนประกอบหลักและถูกอัดจนมีความดันสูง ซึ่ง ถูกอัดที่แรงดัน 200 bar หรือ 3,000 psi และถูกกักเก็บไว้ในถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษให้ สามารถรองรับแรงดันได้ โดยมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ
NGV ย่อมาจาก Natural Gas for Vehicle คือ เอาแปลก่อนสักหน่อยเผื่อบางคนไม่รู้ (Vehicle แปลว่า ยานพาหนะ นะครับ) Natural Gas ก็ ก๊าซธรรมชาตินั่นแหล่ะ แปลรวมๆ แบบธรรมดาๆ ก็ “ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานพาหนะ”
ก๊าซแอลพีจี (LPG = Liquid Petroleum Gas) เป็นก๊าซหุงต้มซึ่งเป็นของผสมระหว่างก๊าซ โพรเพนและบิวเทน ที่ถูกอัดลงในถังเหล็กภายใต้ความดันสูง ทำให้ก๊าซนี้เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว
น้ำมันเบนซิน เป็นของผสมระหว่างเฮปเทนและไอโซออกเทน ใช้กับเครื่องยนต์ก๊าซโซลีน
การบอกคุณภาพของน้ำมันเบนซิน บอกเป็นเลขออกเทน(Octane number) โดยกำหนดให้ประสิทธิภาพการเผาไหม้ของไอโซออกเทนบริสุทธิ์ มีเลขออกเทนเป็น 100 และ ประสิทธิภาพการเผาไหม้ของนอร์มอลเฮปเทนบริสุทธิ์มีเลขออกเทนเป็น 0
น้ำมันดีเซล เป็นของผสมระหว่างซีเทน และแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน
การบอกคุณภาพของน้ำมันดีเซล บอกเป็นเลขซีเทนโดยกำหนดให้ประสิทธิภาพการเผาไหม้ของซีเทนบริสุทธิ์มีเลขซีเทนเป็น 100 และประสิทธิภาพการเผาไหม้ของแอลฟาเมทิลแนฟทาลีนบริสุทธิ์ มีเลขซีเทนเป็น 0
CNG ย่อมาจาก Compressed Natural Gas คือ ก๊าซธรรมชาติที่มี ”มีเทน(CH4)” เป็นส่วนประกอบหลักและถูกอัดจนมีความดันสูง ซึ่ง ถูกอัดที่แรงดัน 200 bar หรือ 3,000 psi และถูกกักเก็บไว้ในถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษให้ สามารถรองรับแรงดันได้ โดยมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ
NGV ย่อมาจาก Natural Gas for Vehicle คือ เอาแปลก่อนสักหน่อยเผื่อบางคนไม่รู้ (Vehicle แปลว่า ยานพาหนะ นะครับ) Natural Gas ก็ ก๊าซธรรมชาตินั่นแหล่ะ แปลรวมๆ แบบธรรมดาๆ ก็ “ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานพาหนะ”
ก๊าซแอลพีจี (LPG = Liquid Petroleum Gas) เป็นก๊าซหุงต้มซึ่งเป็นของผสมระหว่างก๊าซ โพรเพนและบิวเทน ที่ถูกอัดลงในถังเหล็กภายใต้ความดันสูง ทำให้ก๊าซนี้เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว
น้ำมันเบนซิน เป็นของผสมระหว่างเฮปเทนและไอโซออกเทน ใช้กับเครื่องยนต์ก๊าซโซลีน
การบอกคุณภาพของน้ำมันเบนซิน บอกเป็นเลขออกเทน(Octane number) โดยกำหนดให้ประสิทธิภาพการเผาไหม้ของไอโซออกเทนบริสุทธิ์ มีเลขออกเทนเป็น 100 และ ประสิทธิภาพการเผาไหม้ของนอร์มอลเฮปเทนบริสุทธิ์มีเลขออกเทนเป็น 0
น้ำมันดีเซล เป็นของผสมระหว่างซีเทน และแอลฟาเมทิลแนฟทาลีน
การบอกคุณภาพของน้ำมันดีเซล บอกเป็นเลขซีเทนโดยกำหนดให้ประสิทธิภาพการเผาไหม้ของซีเทนบริสุทธิ์มีเลขซีเทนเป็น 100 และประสิทธิภาพการเผาไหม้ของแอลฟาเมทิลแนฟทาลีนบริสุทธิ์ มีเลขซีเทนเป็น 0
ความหมายและความสำคัญของแก๊สโซฮอล์
แก๊สโซฮอล์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่างเอทานอล หรือ ที่เรียกว่า เอทิลแอลกอฮอล์ (ETHYL ALCOHOL) ซึ่งเป็น แอลกอฮอล์ ที่ได้จากการแปรรูปจากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ และเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5 % โดยปริมาตร ผสมกับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 91 (ชนิดที่มีคุณสมบัติบางตัวต่างจากเบนซิน 91 ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน) ในอัตราส่วนเบนซิน 9 ส่วน เอทานอล 1 ส่วน จึงได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95
ส่วนที่เรียกแก๊สโซฮอล์นั้น ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษจากคำว่า GASOLINE และ ETHANOL รวมกันเป็น GASOHOL สำหรับการผสมแอลกอฮอล์ในน้ำมันเบนซินในข้างต้น เป็นในลักษณะของสารเติมแต่งปรับปรุงค่า Oxygenates และออกเทน (Octane) ของน้ำมันเบนซิน ซึ่งสามารถใช้ทดแทนสารเติมแต่งชนิดอื่นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ MethyL-Tertiary-ButyL-Ether (MTBE) ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่าหลายพันล้านต่อปี
ข้อดีของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
ผลดีต่อเครื่องยนต์
ผลดีต่อประเทศ
1. ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 95 1. ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศลดการขาดดุลทางการค้า
2. ไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะการใช้งานและอัตราการเร่งดีกว่าหรือไม่แตกต่าง จากน้ำมันเบนซิน 95 2. ใช้ประโยชน์จากพืชผลทางการเกษตรสูงสุดและยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร
3. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับแต่งเครื่องยนต์ 3. เครื่องยนต์มีการเผาไหม้ที่ดีขึ้นทำให้ช่วยลดมลพิษไอเสียทางอากาศและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
4. สามารถเติมผสมกับน้ำมันที่เหลืออยู่ในถังได้เลย โดยไม่ต้องรอให้น้ำมันในถังหมด 4. โดยสามารถลดปริมาณไฮโดรคาร์บอนและคาร์บอนมอนนอกไซด์ลง 20-25% ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนในประเทศ
–
5. ทำให้เกิดการลงทุนที่หลากหลายทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม
เพื่อชาติ
เพื่อคุณ
1. เป็นพลังงานทดแทน ผลิตจากพืชเกษตรในประเทศ ใช้แทนสารเพิ่มออกเทนที่นำเข้าจากต่างประเทศ ประหยัดเงินตราต่างประเทศมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี 1. ได้ใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในราคาที่ประหยัดลง 50 สตางค์ต่อลิตร
2. ประหยัดการใช้น้ำมันที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยการนำเอทานอลมาผสมกับน้ำมันเบนซิน จะช่วยลดการใช้น้ำมันของประเทศลงได้ประมาณ 10% หรือเดือนละ 25 ล้านลิตร 2. ช่วยให้เครื่องยนต์เผาไหม้สะอาด สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
3. เกษตรกรไทยมีรายได้สูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการผลิตเอทานอลที่ได้จากพืชเกษตร 3. ได้มีส่วนช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อนร่วมชาติให้ขายผลผลิตได้ในราราที่สูงขึ้น
4. ลดมลพิษทางอากาศ โดยลดไฮโดรคาร์บอนและคาร์บอนมอนออกไซด์ ลงได้ 20-25% ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ที่ก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ (GREEN HOUSE EFFECT) รวมทั้งลดควันดำ ลดสารอะโรเมติกส์และลดสารเบนซิน 4. ได้ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลถึงชีวิตตนเอง ลูกหลาน และเพื่อนร่วมชาติ
5. ช่วยกระจายการลงทุน การจ้างงานสู่ชนบท
แก๊สโซฮอล์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่างเอทานอล หรือ ที่เรียกว่า เอทิลแอลกอฮอล์ (ETHYL ALCOHOL) ซึ่งเป็น แอลกอฮอล์ ที่ได้จากการแปรรูปจากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ และเป็นแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ 99.5 % โดยปริมาตร ผสมกับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 91 (ชนิดที่มีคุณสมบัติบางตัวต่างจากเบนซิน 91 ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน) ในอัตราส่วนเบนซิน 9 ส่วน เอทานอล 1 ส่วน จึงได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95
ส่วนที่เรียกแก๊สโซฮอล์นั้น ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษจากคำว่า GASOLINE และ ETHANOL รวมกันเป็น GASOHOL สำหรับการผสมแอลกอฮอล์ในน้ำมันเบนซินในข้างต้น เป็นในลักษณะของสารเติมแต่งปรับปรุงค่า Oxygenates และออกเทน (Octane) ของน้ำมันเบนซิน ซึ่งสามารถใช้ทดแทนสารเติมแต่งชนิดอื่นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ MethyL-Tertiary-ButyL-Ether (MTBE) ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศมูลค่าหลายพันล้านต่อปี
ข้อดีของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
ผลดีต่อเครื่องยนต์
|
ผลดีต่อประเทศ
|
1. ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 95 | 1. ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศลดการขาดดุลทางการค้า |
2. ไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะการใช้งานและอัตราการเร่งดีกว่าหรือไม่แตกต่าง จากน้ำมันเบนซิน 95 | 2. ใช้ประโยชน์จากพืชผลทางการเกษตรสูงสุดและยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร |
3. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับแต่งเครื่องยนต์ | 3. เครื่องยนต์มีการเผาไหม้ที่ดีขึ้นทำให้ช่วยลดมลพิษไอเสียทางอากาศและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม |
4. สามารถเติมผสมกับน้ำมันที่เหลืออยู่ในถังได้เลย โดยไม่ต้องรอให้น้ำมันในถังหมด | 4. โดยสามารถลดปริมาณไฮโดรคาร์บอนและคาร์บอนมอนนอกไซด์ลง 20-25% ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนในประเทศ |
–
| 5. ทำให้เกิดการลงทุนที่หลากหลายทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม |
เพื่อชาติ
|
เพื่อคุณ
|
1. เป็นพลังงานทดแทน ผลิตจากพืชเกษตรในประเทศ ใช้แทนสารเพิ่มออกเทนที่นำเข้าจากต่างประเทศ ประหยัดเงินตราต่างประเทศมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี | 1. ได้ใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในราคาที่ประหยัดลง 50 สตางค์ต่อลิตร |
2. ประหยัดการใช้น้ำมันที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยการนำเอทานอลมาผสมกับน้ำมันเบนซิน จะช่วยลดการใช้น้ำมันของประเทศลงได้ประมาณ 10% หรือเดือนละ 25 ล้านลิตร | 2. ช่วยให้เครื่องยนต์เผาไหม้สะอาด สมบูรณ์ยิ่งขึ้น |
3. เกษตรกรไทยมีรายได้สูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการผลิตเอทานอลที่ได้จากพืชเกษตร | 3. ได้มีส่วนช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อนร่วมชาติให้ขายผลผลิตได้ในราราที่สูงขึ้น |
4. ลดมลพิษทางอากาศ โดยลดไฮโดรคาร์บอนและคาร์บอนมอนออกไซด์ ลงได้ 20-25% ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ที่ก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ (GREEN HOUSE EFFECT) รวมทั้งลดควันดำ ลดสารอะโรเมติกส์และลดสารเบนซิน | 4. ได้ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลถึงชีวิตตนเอง ลูกหลาน และเพื่อนร่วมชาติ |
5. ช่วยกระจายการลงทุน การจ้างงานสู่ชนบท |
3.3 การกลั่นน้ำมันดิบ
น้ำมันดับเป็นของผสมของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด ทั้งแอลเคน ไซโคลแอลเคน น้ำ และสารประกอบอื่น ๆ การกลั่นน้ำมันดิบจึงใช้การกลั่นลำดับสวน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
กระบวนการกลั่นน้ำมัน
1. ก่อนการกลั่นต้องแยกน้ำและสารประกอบต่าง ๆ ออกจากน้ำมันดิบก่อน จนเหลือแต่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่
2. ส่งผ่านสารประกอบไฮโดรคาร์บอนผ่านท่อเข้าไปในเตาเผาที่มีอุณหภูมิ 320 – 385OC น้ำมันดิบที่ผ่านเตาเผาจะมีอุณหภูมิสูง จนบางส่วนเปลี่ยนสถานะเป็นไอปนไปกับของเหลว
3. ส่งสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทั้งที่เป็นของเหลวและไอผ่านเข้าไปในหอกลั่น ซึ่งหอกลั่นเป็นหอสูงที่ภายในประกอบด้วยชั้นเรียงกันหลายสิบชั้น แต่ละชั้นจะมีอุณหภูมิแตกต่างกัน ชั้นบนมีอุณหภูมิต่ำ ชั้นล่างมีอุณหภูมิสูง ดังนั้นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีมวลโมเลกุลต่ำและจุดเดือดต่ำจะระเหยขึ้นไปและควบแน่นเป็นของเหลวบริเวณชั้นที่อยู่ส่วนบนของหอกลั่น ส่วนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีมวลโมเลกุลสูงและจุดเดือดสูงกว่าจะควบแน่นเป็นของเหลวอยู่ในชั้นต่ำลงมาตามช่วงอุณหภูมิของจุดเดือด สารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางชนิดที่มีจุดเดือดใกล้เคียงกันจะควบแน่นปนกันออกมาชั้นเดียวกัน การเลือกช่วงอุณหภูมิในการเก็บผลิตภัณฑ์จึงขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้
สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีมวลโมเลกุลสูงมาก เช่น น้ำมันเตา น้ำมันหล่อลื่น และยางมะตอย ซึ่งมีจุดเดือดสูงจึงยังคงเป็นของเหลวในช่วงอุณหภูมิของการกลั่น และจะถูกแยกอยู่ในชั้นตอนล่างของหอกลั่น
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม สมบัติ และการใช้ประโยชน์
ผลิตภัณฑ์ที่ได้
จุดเดือด (OC)
สถานะ
จำนวน C
การใช้ประโยชน์
แก๊สปิโตรเลียม
< 30
แก๊ส
1 – 4
ทำสารเคมี วัสดุสังเคราะห์ เชื้อเพลิงแก๊สหุงต้ม
แนฟทาเบา
30 – 110
ของเหลว
5 – 7
น้ำมันเบนซิน ตัวทำละลาย
แนฟทาหนัก
65 – 170
ของเหลว
6 – 12
น้ำมันเบนซิน แนฟทาหนัก
น้ำมันก๊าด
170 – 250
ของเหลว
10 – 14
น้ำมันก๊าด เชื้อเพลิงเครื่องยนต์ไอพ่น และตะเกียง
น้ำมันดีเซล
250 – 340
ของเหลว
14– 19
เชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล
น้ำมันหล่อลื่น
> 350
ของเหลว
19 – 35
น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเครื่อง
ไข
> 500
ของแข็ง
> 35
ใช้ทำเทียนไข เครื่องสำอาง ยาขัดมัน ผลิตผงซักฟอก
น้ำมันเตา
> 500
ของเหลวหนืด
> 35
เชื้อเพลิงเครื่องจักร
ยางมะตอย
> 500
ของเหลวหนืด
> 35
ยางมะตอย เป็นของแข็งที่อ่อนตัวและเหนียวหนืดเมื่อถูกความร้อน ใช้เป็นวัสดุกันซึม
น้ำมันดับเป็นของผสมของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด ทั้งแอลเคน ไซโคลแอลเคน น้ำ และสารประกอบอื่น ๆ การกลั่นน้ำมันดิบจึงใช้การกลั่นลำดับสวน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

กระบวนการกลั่นน้ำมัน
1. ก่อนการกลั่นต้องแยกน้ำและสารประกอบต่าง ๆ ออกจากน้ำมันดิบก่อน จนเหลือแต่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่
2. ส่งผ่านสารประกอบไฮโดรคาร์บอนผ่านท่อเข้าไปในเตาเผาที่มีอุณหภูมิ 320 – 385OC น้ำมันดิบที่ผ่านเตาเผาจะมีอุณหภูมิสูง จนบางส่วนเปลี่ยนสถานะเป็นไอปนไปกับของเหลว
3. ส่งสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทั้งที่เป็นของเหลวและไอผ่านเข้าไปในหอกลั่น ซึ่งหอกลั่นเป็นหอสูงที่ภายในประกอบด้วยชั้นเรียงกันหลายสิบชั้น แต่ละชั้นจะมีอุณหภูมิแตกต่างกัน ชั้นบนมีอุณหภูมิต่ำ ชั้นล่างมีอุณหภูมิสูง ดังนั้นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีมวลโมเลกุลต่ำและจุดเดือดต่ำจะระเหยขึ้นไปและควบแน่นเป็นของเหลวบริเวณชั้นที่อยู่ส่วนบนของหอกลั่น ส่วนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีมวลโมเลกุลสูงและจุดเดือดสูงกว่าจะควบแน่นเป็นของเหลวอยู่ในชั้นต่ำลงมาตามช่วงอุณหภูมิของจุดเดือด สารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางชนิดที่มีจุดเดือดใกล้เคียงกันจะควบแน่นปนกันออกมาชั้นเดียวกัน การเลือกช่วงอุณหภูมิในการเก็บผลิตภัณฑ์จึงขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้
สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีมวลโมเลกุลสูงมาก เช่น น้ำมันเตา น้ำมันหล่อลื่น และยางมะตอย ซึ่งมีจุดเดือดสูงจึงยังคงเป็นของเหลวในช่วงอุณหภูมิของการกลั่น และจะถูกแยกอยู่ในชั้นตอนล่างของหอกลั่น
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม สมบัติ และการใช้ประโยชน์
ผลิตภัณฑ์ที่ได้
|
จุดเดือด (OC)
|
สถานะ
|
จำนวน C
|
การใช้ประโยชน์
|
แก๊สปิโตรเลียม
|
< 30
|
แก๊ส
|
1 – 4
| ทำสารเคมี วัสดุสังเคราะห์ เชื้อเพลิงแก๊สหุงต้ม |
แนฟทาเบา
|
30 – 110
|
ของเหลว
|
5 – 7
| น้ำมันเบนซิน ตัวทำละลาย |
แนฟทาหนัก
|
65 – 170
|
ของเหลว
|
6 – 12
| น้ำมันเบนซิน แนฟทาหนัก |
น้ำมันก๊าด
|
170 – 250
|
ของเหลว
|
10 – 14
| น้ำมันก๊าด เชื้อเพลิงเครื่องยนต์ไอพ่น และตะเกียง |
น้ำมันดีเซล
|
250 – 340
|
ของเหลว
|
14– 19
| เชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล |
น้ำมันหล่อลื่น
|
> 350
|
ของเหลว
|
19 – 35
| น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเครื่อง |
ไข
|
> 500
|
ของแข็ง
|
> 35
| ใช้ทำเทียนไข เครื่องสำอาง ยาขัดมัน ผลิตผงซักฟอก |
น้ำมันเตา
|
> 500
|
ของเหลวหนืด
|
> 35
| เชื้อเพลิงเครื่องจักร |
ยางมะตอย
|
> 500
|
ของเหลวหนืด
|
> 35
| ยางมะตอย เป็นของแข็งที่อ่อนตัวและเหนียวหนืดเมื่อถูกความร้อน ใช้เป็นวัสดุกันซึม |
3.2 การแยกแก๊สธรรมชาติ
แก๊สธรรมชาติและแก๊สธรรมชาติเหลว ประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่าง ๆ เช่น มีเทน (CH4) อีเทน (C2H6) โพรเพน (C3H8) บิวเทน (C4H10) เพนเทน (C5H12) กับสารที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ไอปรอท และไอน้ำ ดังตาราง
สารประกอบ
สูตรโมเลกุล
ร้อยละโดยปริมาตร
มีเทน
CH4
50 – 80
อีเทน
C2H6
5 – 10
โพรเพน
C3H8
2 – 7
บิวเทน
C4H10
1 – 3
เพนเทน
C5H12
น้อยกว่า 1
คาร์บอนไดออกไซด์
CO2
10 – 25
ไนโตรเจน
N2
1-4
อื่น ๆ (เฮกเซน ไอน้ำ ฮีเลียม ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และปรอท
H2S
น้อยกว่า 0.5
แก๊สธรรมชาติและแก๊สธรรมชาติเหลวที่ขุดเจาะขึ้นมาได้ ก่อนจะนำไปใช้ต้องผ่านกระบวนการแยกแก๊สก่อน เพื่อแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ปะปนกันอยู่ตามธรรมชาติออกเป็นแก๊สชนิดต่าง ๆ โดยผ่านกระบวนการดังนี้
1. หน่วยกำจัดสารปรอท เพื่อป้องกันการผุกร่อนของท่อจากการรวมตัวกับปรอท
2. หน่วยกำจัดแก๊ส H2S และ CO2 เนื่องจาก H2S มีพิษและกัดกร่อน ส่วน CO2 ทำให้เกิดการอุดตันของท่อ เพราะว่าที่ระบบแยกแก๊สมีอุณหภูมิต่ำมาก การกำจัด CO2 ทำโดยใช้สารละลาย K2CO3ผสมตัวเร่งปฏิกิริยา CO2 ที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทำน้ำแข็งแห้ง น้ำยาดับเพลิง และฝนเทียม
3. หน่วยกำจัดความชื้น เนื่องจากความชื้นหรือไอน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งทำให้ท่ออุดตัน ทำโดยการกรองผ่านสารที่มีรูพรุนสูง และสามารถดูดซับน้ำออกจากแก๊สได้ เช่น ซิลิกาเจล
4. แก๊สธรรมชาติที่ผ่านขั้นตอนแยกสารประกอบที่ไม่ใช่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนออกไปแล้ว จะถูกส่งไปลดอุณหภูมิและทำให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวและส่งต่อไปยังหอกลั่นเพื่อแยกแก๊สมีเทนออกจากแก๊สธรรมชาติ ผ่านของเหลวที่เหลือซึ่งเป็นไฮโดรคาร์บอนผสมไปยังหอกลั่น เพื่อแยกแก๊สอีเทน แก๊สโพรเพน แก๊สปิโตรเลียมเหลว (C3+C4) และแก๊สโซลีนธรรมชาติหรือแก๊สธรรมชาติหลว (liquefied natural gas) (C 5 อะตอมขึ้นไป)
แก๊สธรรมชาติและแก๊สธรรมชาติเหลว ประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่าง ๆ เช่น มีเทน (CH4) อีเทน (C2H6) โพรเพน (C3H8) บิวเทน (C4H10) เพนเทน (C5H12) กับสารที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ไอปรอท และไอน้ำ ดังตาราง
สารประกอบ
|
สูตรโมเลกุล
|
ร้อยละโดยปริมาตร
|
มีเทน |
CH4
|
50 – 80
|
อีเทน |
C2H6
|
5 – 10
|
โพรเพน |
C3H8
|
2 – 7
|
บิวเทน |
C4H10
|
1 – 3
|
เพนเทน |
C5H12
|
น้อยกว่า 1
|
คาร์บอนไดออกไซด์ |
CO2
|
10 – 25
|
ไนโตรเจน |
N2
|
1-4
|
อื่น ๆ (เฮกเซน ไอน้ำ ฮีเลียม ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และปรอท |
H2S
|
น้อยกว่า 0.5
|
แก๊สธรรมชาติและแก๊สธรรมชาติเหลวที่ขุดเจาะขึ้นมาได้ ก่อนจะนำไปใช้ต้องผ่านกระบวนการแยกแก๊สก่อน เพื่อแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ปะปนกันอยู่ตามธรรมชาติออกเป็นแก๊สชนิดต่าง ๆ โดยผ่านกระบวนการดังนี้
1. หน่วยกำจัดสารปรอท เพื่อป้องกันการผุกร่อนของท่อจากการรวมตัวกับปรอท
2. หน่วยกำจัดแก๊ส H2S และ CO2 เนื่องจาก H2S มีพิษและกัดกร่อน ส่วน CO2 ทำให้เกิดการอุดตันของท่อ เพราะว่าที่ระบบแยกแก๊สมีอุณหภูมิต่ำมาก การกำจัด CO2 ทำโดยใช้สารละลาย K2CO3ผสมตัวเร่งปฏิกิริยา CO2 ที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทำน้ำแข็งแห้ง น้ำยาดับเพลิง และฝนเทียม
3. หน่วยกำจัดความชื้น เนื่องจากความชื้นหรือไอน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งทำให้ท่ออุดตัน ทำโดยการกรองผ่านสารที่มีรูพรุนสูง และสามารถดูดซับน้ำออกจากแก๊สได้ เช่น ซิลิกาเจล
4. แก๊สธรรมชาติที่ผ่านขั้นตอนแยกสารประกอบที่ไม่ใช่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนออกไปแล้ว จะถูกส่งไปลดอุณหภูมิและทำให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวและส่งต่อไปยังหอกลั่นเพื่อแยกแก๊สมีเทนออกจากแก๊สธรรมชาติ ผ่านของเหลวที่เหลือซึ่งเป็นไฮโดรคาร์บอนผสมไปยังหอกลั่น เพื่อแยกแก๊สอีเทน แก๊สโพรเพน แก๊สปิโตรเลียมเหลว (C3+C4) และแก๊สโซลีนธรรมชาติหรือแก๊สธรรมชาติหลว (liquefied natural gas) (C 5 อะตอมขึ้นไป)
ท่อส่งแก๊สธรรมชาติ
เป็นท่อที่ทำด้วยเหล็กกล้า (steel) ขนาดและความหนาของท่อขึ้นอยู่กับแรงดันที่ใช้ในการส่งแก๊ส และสภาพพื้นที่ในการวางท่อบนพื้นที่ภูเขา/ไม่มีชุมชน และในพื้นที่ชุมชน/พื้นที่ทำกิน ฝังท่อลึก 1–1.5 เมตร บริเวณพื้นที่ลอดใต้ถนนฝังท่อลึก 3 เมตร ท่อส่งแก๊สจะถูกเคลือบผิวภายนอกเพื่อป้องกันการผุกร่อน สำหรับท่อในทะเลต้องเคลือบ 2 ชั้น คือการเคลือบเพื่อป้องกันการผุกร่อน และการพอกด้วยคอนกรีตเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้ท่อจมลงยังพื้นท้องทะเลท่อส่งแก๊ส
เป็นท่อที่ทำด้วยเหล็กกล้า (steel) ขนาดและความหนาของท่อขึ้นอยู่กับแรงดันที่ใช้ในการส่งแก๊ส และสภาพพื้นที่ในการวางท่อบนพื้นที่ภูเขา/ไม่มีชุมชน และในพื้นที่ชุมชน/พื้นที่ทำกิน ฝังท่อลึก 1–1.5 เมตร บริเวณพื้นที่ลอดใต้ถนนฝังท่อลึก 3 เมตร ท่อส่งแก๊สจะถูกเคลือบผิวภายนอกเพื่อป้องกันการผุกร่อน สำหรับท่อในทะเลต้องเคลือบ 2 ชั้น คือการเคลือบเพื่อป้องกันการผุกร่อน และการพอกด้วยคอนกรีตเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้ท่อจมลงยังพื้นท้องทะเลท่อส่งแก๊ส
ซิลิกาเจล ซิลิกาเจล มีสูตรโมเลกุล mSiO2.n H2O ไม่ละลายน้ำและตัวทำละลาย ไม่มีกลิ่น ไม่เกิดปฏิกิริยากับสารอื่น ผลิตได้หลายวิธีคือทำให้มีซิลิกาเจลหลายชนิดซึ่งมีขนาดของรูพรุนในโครงสร้างที่แตกต่างกัน เป็นสารที่ใช้ดูดความชื้นได้ดีมาก
แก๊สธรรมชาติและแก๊สปิโตรเลียมเหลว แก๊สธรรมชาติและแก๊สปิโตรเลียมเหลว (Liquefied petroleum gas : LPG) เป็นแก๊สที่ไม่มีกลิ่น จึงมีการเติมสารเมอร์แคปแทน (Mercaptan) ซึ่งมีกลิ่นเหม็นเพื่อช่วยเตือนให้ทราบเมื่อมีแก๊สรั่ว เมอร์แคปแทน เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ –SH เกาะอยู่กับอะตอมคาร์บอน สารประกอบเมอร์แคปแทนที่เติมลงในแก๊สธรรมชาติอาจเป็นเมทิลเมอร์แคปแทน (CH3–SH)หรือเอทิลเมอร์แคปแทน (C2H5–SH)
ประเทศไทยมีโรงแยกแก๊สธรรมชาติ ที่ตำบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง และที่อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช แก๊สที่แยกได้เป็นแก๊สหุงต้ม (โพรเพน + บิวเทน) ส่วนมีเทนจะส่งไปตามท่อไปยังโรงไฟฟ้า และโรงงานต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง และใช้ในการผลิตปุ๋ยเคมี ส่วนอีเทนและโพรเพนใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมผลิตพลาสติกและเส้นใย
ที่มา
https://krukoongchemistry.wordpress.com/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-3-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1/
พอลิเมอร์
พอ ลิเมอร์ (Polymer) คือ สารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกุลมากประกอบด้วยหน่วยเล็ก ๆ ของสารที่อาจจะเหมือนกันหรือต่างกันมาเชื่อมต่อกันด้วยพันธะโควาเลนต์
มอนอเมอร์ (Monomer) คือ หน่วยเล็ก ๆ ของสารในพอลิเมอร์ ดังภาพ
ประเภทของพอลิเมอร์ แบ่งตามเกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้
1. แบ่งตามการเกิดเป็นเกณฑ์ เป็น 2 ชนิด คือ
ก . พอลิเมอร์ธรรมชาติ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น โปรตีน แป้ง เซลลูโลส ไกโคเจน กรดนิวคลีอิก และยางธรรมชาติ (พอลีไอโซปรีน)
ข . พอลิเมอร์สังเคราะห์ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากการสังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น พลาสติก ไนลอน ดาครอน และลูไซต์ เป็นต้น
2. แบ่งตามชนิดของมอนอเมอร์ที่เป็นองค์ประกอบ เป็น 2 ชนิด คือ
ก . โฮมอลิเมอร์ (Homopolymer) เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน เช่น แป้ง(ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกลูโคสทั้งหมด) พอลิเอทิลีน PVC (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นเอทิลีนทั้งหมด)
ข . เฮเทอโรพอลิเมอร์ (Heteropolymer) เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ต่างชนิดกัน เช่น โปรตีน (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกรดอะมิโนต่างชนิดกัน) พอลิเอสเทอร์ พอลิเอไมด์ เป็นต้น
3. แบ่งตามโครงสร้างของพอลิเมอร์ แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
ก. พอลิเมอร์แบบเส้น (Chain length polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์สร้างพันธะต่อกันเป็นสายยาว โซ่พอลิเมอร์เรียงชิดกันมากว่าโครงสร้างแบบอื่น ๆ จึงมีความหนาแน่น และจุดหลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็ง ขุ่นเหนียวกว่าโครงสร้างอื่นๆ ตัวอย่าง PVC พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีน ดังภาพ
ข. พอลิเมอร์แบบกิ่ง (Branched polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ยึดกันแตกกิ่งก้านสาขา มีทั้งโซ่สั้นและโซ่ยาว กิ่งที่แตกจาก พอลิเมอร์ของโซ่หลัก ทำให้ไม่สามารถจัดเรียงโซ่พอลิเมอร์ให้ชิดกันได้มาก จึงมีความหนาแน่นและจุดหลอมเหลวต่ำยืดหยุ่นได้ ความเหนียวต่ำ โครงสร้างเปลี่ยนรูปได้ง่ายเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ตัวอย่าง พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ ดังภาพ
แบบทดสอบก่อนเรียน
– หลังเรียน
เรื่อง เคมีพื้นฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่
4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
แล้วทำเครื่องหมายกากบาท (X)
ลงในกระดาษคำตอบ
1. ปิโตรเลียมเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ก. เกิดจากซากสัตว์ทะเลเล็ก ๆ
ที่ถูกทับถมอยู่ใต้ดิน
ข.เกิดจากซากสัตว์กินพืชจมอยู่ใต้พื้นหินเป็นเวลานาน
ๆ
ค.เกิดจากซากพืชหรือต้นไม้ซึ่งจมอยู่ใต้ดินและหินลึก
ๆ
ง.เกิดจากพืชและสัตว์ทะเลที่ถูกทับถมอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน
ๆ
2. แก๊สโซฮอล์คืออะไร ?
ก.เป็นน้ำมันไบโอดีเซลชนิดหนึ่ง
ข.น้ำมันที่ได้จากการกลั่นลำดับส่วนน้ำมันปาล์ม
ค.เป็นน้ำมันเบนซินชนิดหนึ่งมีคุณภาพเทียบเท่าเบนซิน
91
ง.น้ำมันที่ได้จากการผสมระหว่างน้ำมันเบนซินกับแอลกอฮอล์
3. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแก๊สธรรมชาติ ?
ก.ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
ข.มีราคาถูกกว่าน้ำมัน
ค.เป็นแก๊สชนิดเดียวกับแก๊สหุงต้ม
ง.เผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์กว่าน้ำมันเบนซิน
4. แก๊สแอลพีจี คืออะไร ?
ก.เป็นแก๊สมีเทน
ข.เป็นแก๊สที่ใช้ในอุตสาหกรรมเหล็ก
ค.เป็นแก๊สที่ได้จากการผสมระหว่างโพรเพนกับบิวเทน
ง.เป็นแก๊สชนิดเดียวกับที่ได้จากการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในบ่อเกรอะ
5. ข้อใดเป็นตัวอย่างของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ?
ก.มีเทน และบิวเทน
ข.พลาสติก และเส้นใยไหม
ค.ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรต
ง.คาร์โบไฮเดรต และ โปรตีน
-2-
6. การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของสารประเภทไฮโดรคาร์บอนเกิดจากสาเหตุใด
?
ก.มีปริมาณเชื้อเพลิงมากเกินไป
ข.มีปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอ
ค.มีปริมาณของไอน้ำผสมในเชื้อเพลิง
ง.เกิดจากมีสารปรอทปนเปื้อนในสารเชื้อเพลิง
7. การกลั่นลำดับส่วนสารไฮโดรคาร์บอนใดออกมาก่อน
เรียงตามลำดับ ?
ก.แก๊สหุงต้ม เบนซิน
ดีเซล น้ำมันก๊าด
ข.น้ำมันดีเซล น้ำมันก๊าด เบนซิน แก๊สหุงต้ม
ค.แก๊สหุงต้ม เบนซิน
น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล
ง.แก๊สหุงต้ม น้ำมันก๊าด
น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน
8. เหตุใดในกระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติจึงต้องมีหน่วยกำจัดปรอทออกก่อน
?
ก.เพราะไอปรอทมีพิษ
ข.เพราะปรอทเป็นของแข็งจะเกิดการอุดตันท่อ
ค.เพื่อป้องกันการผุกร่อนของท่อจากการรวมตัวกับปรอท
ง.ถูกทุกข้อ
9. ข้อใดเป็นแหล่งพลังงานสำรองในอนาคตของประเทศไทยที่ได้มาจากพืช
?
ก.แก๊สหุงต้ม
ข.ไบโอดีเซล
ค.น้ำมันดีเซล
ง.แก๊สแอลพีจี
10. ปิโตรเลียมประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง ?
ก.น้ำมันกับถ่านหิน
ข.น้ำมันกับหินน้ำมัน
ค.ถ่านหินกับแก๊สธรรมชาติ
ง.น้ำมันกับแก๊สธรรมชาติ
11.ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของน้ำมันและแก๊สธรรมชาติคืออะไร
?
ก.คาร์บอนและไฮโดรเจน
ข.คาร์บอน และออกซิเจน
ค.ไฮโดรเจนและออกซิเจน
ง.คาร์บอน ไฮโดรเจน
และออกซิเจน
-3-
12. วิธีการใดต่อไปนี้ใช้ตรวจสอบหาแหล่งปิโตรเลียมได้
?
ก.การวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ข.การตรวจวัดค่าความโน้มถ่วงของโลก
ค.การสำรวจด้วยการวัดคลื่นไหวสะเทือน
ง.ถูกทุกข้อ
13. ข้อใดเป็นการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมโดยอาศัยวิธีทางธรณีวิทยา
?
ก.การทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
ข.การวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ค.การตรวจวัดค่าความโน้มถ่วงของโลก
ง.การสำรวจด้วยการวัดคลื่นไหวสะเทือน
14. ไฮโดรคาร์บอนชนิดใดต่อไปนี้มีมวลโมเลกุลสูงที่สุด ?
ก.น้ำมันเตา
ข.น้ำมันดีเซล
ค.น้ำมันเบนซิน
ง.ยางมะตอย
15. การเผาไหม้ของน้ำมันเบนซินในข้อใดที่ทำให้เครื่องยนต์เกิดการจุดระเบิดได้ง่ายที่สุด
?
ก.น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน
90
ข.น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน
91
ค.น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน
95
ง.น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน
100
16. สารเคมีชนิดใดที่ใช้สำหรับปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันเบนซินได้
?
ก.เอทานอล
ข.เมทานอล
ค.เตตระเมทิลเลด
ง.ถูกทุกข้อ
17. การปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันเบนซินด้วยวิธีการในข้อใดจึงจะทำให้ได้น้ำมันที่ไร้สารตะกั่ว
?
ก.เตตระเอทิลเลด
ข.เตตระเมทิลเลด
ค.เมทิลเทอร์เชียรีบิวทิลอีเทอร์
ง.ข้อ ก และ ข
-4-
18. ข้อดีของการใช้แก็สปิโตรเลียมเหลวคืออะไร ?
ก.ไม่มีมลพิษในอากาศ
ข.มีค่าเลขออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน
ค.ช่วยให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ง.ถูกทุกข้อ
19. ข้อใดเป็นผลที่ได้จากการแยกแก๊สธรรมชาติ ?
ก.บิทูเมน
ข.แก๊สอีเทน
ค.น้ำมันเตา
ง.น้ำมันเบนซิน
20. สารที่ได้จากการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ของแก๊สธรรมชาติคือสารใด
?
ก.น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ข.น้ำและแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์
ค.น้ำ
แก๊สออกซิจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ง.แก๊สออกซิจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
21. ชั้นหินใดต่อไปนี้ที่มีความสามารถในการกักเก็บแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบได้
?
ก.หินทราย
ข.หินตะกอน
ค.หินดินดาน
ง.ข้อ ข และ ค ถูกต้อง
22. โรงงานอุตสาหกรรมประเภทใดที่ควรตั้งอยู่ใกล้กับโรงแยกแก๊สธรรมชาติ
?
ก.อุตสาหรรมผลิตปุ๋ยเคมี
ข.อุตสาหกรรมผลิตน้ำอัดลม
ค.อุตสาหกรรมการผลิตเม็ดพลาสติก
ง.ถูกทุกข้อ
23. ในกระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติ
เพราะเหตุใดจึงต้องแยกแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกก่อน ?
ก.ป้องกันการอุดตันของท่อ
ข.เพื่อแยกคาร์บอนไดออกไซด์
ไปทำน้ำแข็งแห้ง
ค.แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
มีจุดเดือดต่ำกว่าไฮโดรคาร์บอนอื่น
ง.แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ละลายน้ำกลายเป็นกรด
ทำให้อุปกรณ์สึกกร่อน
-5-
24. สารจากธรรมชาติใดจัดเป็นโคพอลิเมอร์
?
ก.โปรตีน
ข.เซลลูโลส
ค.ไกลโคเจน
ง.ยางธรรมชาติ
25. เส้นใยชนิดใดมีความทนทานต่อเชื้อรา แบคทีเรีย
สารเคมี ซักง่าย แห้งเร็ว ?
ก.ฝ้าย
ข.ไหม
ค.ลินิน
ง.ไนลอน
26. ข้อใดเป็นมอนอเมอร์ของสารพอลิเมอร์ที่มีชื่อว่าพอลิเอทิลีน
?
ก.มีเทน
ข.เอทิลีน
ค.เอทิล
ง.มอนอเอทิลีน
27. มอนอเมอร์ของเซลลูโลสคืออะไร ?
ก.แป้ง
ข.กลูโคส
ค.มอลโตส
ง.ไกลโคเจน
28. ข้อใดที่ควรผลิตขึ้นจากเทอร์มอพลาสติก ?
ก.ท่อน้ำ ปลั๊กไฟ
โทรศัพท์
ข.ถังน้ำ เครื่องเล่นเด็ก ผ้าปูโต๊ะ
ค.อ่างน้ำ พรมน้ำมัน
กรอบแว่นตา
ง.ขวดน้ำ ด้ามกระทะ
กระเบื้องยาง
29. พอลิเมอร์ชนิดใดที่เกิดจากการรวมตัวแบบต่อเติมของมอนอเมอร์
?
ก.เซลลูโลส
ข.โปรตีน
ค.ไนลอน
ง.พอลิเอทิลีน
-6-
30. พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบใดที่มีความแข็งมากแต่
ไม่ยืดหยุ่น เมื่อได้รับความร้อนสูงจะแตก ?
ก.โครงสร้างแบบกิ่ง
ข.โครงสร้างแบบเส้น
ค.โครงสร้างแบบร่างแห
ง.โครงสร้างแบบกิ่งและแบบร่างแห
31. ข้อใดเป็นสาเหตุที่ทำให้พลาสติกแต่ละชนิดมีสมบัติแตกต่างกัน
?
ก.เพราะมีโครงสร้างต่างกัน
ข.เพราะมีองค์ประกอบของมอนอเมอร์ต่างกัน
ค.เพราะมีการผลิตจากเม็ดพลาสติกต่างชนิดกัน
ง.ข้อ ก และ ข
32. ข้อใดเป็นข้อแตกต่างระหว่างยางธรรมชาติกับยางสังเคราะห์ ?
ก.มีโครงสร้างไม่เหมือนกัน
ข.มีจำนวนมอนอเมอร์ไม่เท่ากัน
ค.มีความทนต่อสารเคมี
ความร้อน และตัวทำละลายไม่เท่ากัน
ง.ยางสังเคราะห์มีกระบวนการเกิดที่ซับซ้อนมากกว่ายางธรรมชาติ
33. ข้อใดเป็นเส้นใยกึ่งสังเคราะห์
?
ก.ลินิน
ข.ไนลอน 6,6
ค.เรยอน
ง.เซลลูโลส
34. พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบใดเมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว
แต่เมื่ออุณหภูมิลดลงจะแข็งตัวได้เหมือนเดิม ?
ก.โครงสร้างแบบกิ่ง
ข.โครงสร้างแบบเส้น
ค.โครงสร้างแบบร่างแห
ง.โครงสร้างแบบกิ่งและแบบเส้น
35. พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบใดเมื่อได้รับความร้อนจะไม่หลอมและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้
?
ก.โครงสร้างแบบกิ่ง
ข.โครงสร้างแบบเส้น
ค.โครงสร้างแบบร่างแห
ง.โครงสร้างแบบกิ่งและแบบเส้น
-7-
36. พอลิเมอร์ของเทอร์มอพลาสติกมีโครงสร้างแบบใด
?
ก.โครงสร้างแบบกิ่ง
ข.โครงสร้างแบบเส้น
ค.โครงสร้างแบบร่างแห
ง.โครงสร้างแบบกิ่งและแบบเส้น
37. เพราะเหตุใดพลาสติกเทอร์มอเซต
เมื่อขึ้นรูปด้วยการผ่านความร้อนหรือแรงดันแล้วจะไม่สามารถ
นำกลับมาขึ้นรูปใหม่ได้อีก ?
ก.เพราะพอลิเมอร์มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่โมเลกุลแบบกิ่ง
ข.เพราะพอลิเมอร์มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่โมเลกุลแบบเส้น
ค.เพราะพอลิเมอร์มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่โมเลกุลแบบร่างแห
ง.เพราะพอลิเมอร์มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่โมเลกุลแบบกิ่งและแบบเส้น
38. เส้นใยชนิดใดต่อไปนี้ที่เกิดราได้ง่าย ?
ก.ฝ้าย
ข.เรยอน
ค.เส้นไหม
ง.ลินิน และป่าน
39. พืชชนิดใดที่สามารถให้เส้นใยและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
?
ก.ปอ
ข.กัญชา
ค.สับปะรด
ง.ถูกทุกข้อ
40. การแยกเนื้อยางจากน้ำยางทำได้โดยวิธีใด ?
ก.การเติมกำมะถัน
ข.การเติมเบสบางชนิด
ค.การเติมกรดบางชนิด
ง.การเติมแอมโมเนียเข้มข้น
41. ข้อใดเป็นกระบวนการวัลคาไนเซชัน ?
ก.การทำให้เนื้อยางตกตะกอน
ข.การทำให้น้ำยางไม่บูดเน่า
ค.ใช้การการผลิตยางสังเคราะห์
ง.การทำให้ยางมีความยืดหยุ่นคงรูปมากขึ้น
-8-
42. วัตถุดิบในการผลิตยางสังเคราะห์ได้มาจากแหล่งใด
?
ก.ปิโตรเลียม
ข.น้ำมัน
ค.แก๊สธรรมชาติ
ง.ถ่านหิน
43. ข้อใดเป็นประโยชน์ของพอลิเมอร์สังเคราะห์ ?
ก.ใช้ทำอวัยวะเทียม
ข.ใช้ในด้านศัลยกรรมตกแต่ง
ค.ใช้เป็นสารยึดติด เช่น กาว
ง.ถูกทุกข้อ
44. มอนอเมอร์ของพอลิโพรพิลีนคืออะไร ?
ก.โพรเพน
ข.โพรพีน
ค.แนฟทา
ง.โพรพิลีน
45. ข้อใดเป็นตัวอย่างของผลิตภันณ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น
?
ก.อีเทน โพรเพน
ข.เอทิลีน โพรพิลีน
ค.พอลิเอทิลีน
พอลิโพรพิลีน"
ง.เซลลูโลอะซิเตต เรยอน
46. ข้อใดเป็นการแปลงสภาพของโปรตีน ?
ก.โปรตีนตกผลึก
ข.พันธะเพปไทด์ในโมเลกุลโปรตีนถูกทำลาย
ค.พันธะเพปไทด์
และพันธะไฮโดรเจนในโมเลกุลของโปรตีนถูกทำลาย
ง.พันธะไฮโดรเจน
ในโมเลกุลถูกทำลาย แต่พันธะเพปไทด์ไม่ถูกทำลาย
47.โปรตีนแต่ละชนิดต่างกันดังต่อไปนี้ ยกเว้นข้อใด ?
ก.ชนิดของกรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบ
ข.จำนวนของกรดอะมิโนในแต่ละโมเลกุล
ค.ชนิดของธาตุพื้นฐานสำคัญที่เป็นองค์ประกอบ
ง.ลำดับและการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโนในพอลิเพปไทด์
-9-
48. สารอาหารประเภทใดให้พลังงานแก่ร่างกาย
?
ก.คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำ
ข.เกลือแร่ น้ำ ไขมัน
ง.คาร์โบไฮเดรต ไขมัน
โปรตีน
ง.โปรตีน คาร์โบไฮเดรต
เกลือแร่
49. ข้อใดกล่าวถึงไขมันและน้ำมันได้ถูกต้อง ?
ก.เป็นสารประกอบพวกไตรกลีเซอไรด์
ข.ประกอบด้วยกลีเซอรอลที่มีองค์ประกอบเป็นกรดไขมัน
ค.เป็นสารโมเลกุลใหญ่เกิดจากการรวมตัวกันของกรดไขมัน
ง.ประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเดี่ยว
50. บทบาทที่สำคัญของกรดนิวคลิอิกคืออะไร ?
ก.ช่วยในการเจริญเติบโต
ข.สลายให้พลังงาน
ค.ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ง.เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสมดุลของน้ำและกรด-เบส
51. น้ำมันและไขมันแตกต่างกันอย่างไร ?
ก.มีองค์ประกอบที่ต่างกัน
ข.มีโครงสร้างของกลีเซอรอลต่างกัน
ค.มีจำนวนของกรดไขมันไม่เท่ากัน
ง.มีสถานะที่อุณหภูมิห้องไม่เหมือนกัน
52. ข้อใดคือประโยชน์ในทางโภชนาการเมื่อโปรตีนเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพ
?
ก.ช่วยทำให้เชื้อโรคตาย
ข.ช่วยในการรักษาโรคมะเร็ง
ค.ช่วยทำให้โปรตีนย่อยได้ง่ายขึ้น
ง.ช่วยแก้พิษเมื่อคนไข้ดื่มยาพิษที่เป็นสารประกอบของสารโลหะหนัก
53. ถ้านักเรียนรับประทานเฉพาะอาหารมังสวิรัติ
นักเรียนจะมีโอกาสขาดสารอาหารประเภทใด ?
ก.โปรตีน
ข.คาร์โบไฮเดรต
ค.ไขมันและน้ำมัน
ง.กรดนิวคลีอิก
-10
54. นิวคลีโอไทด์ของดีเอ็นเอประกอบด้วยสารใดต่อไปนี้
?
ก.น้ำตาลไรโบส N-เบส และหมู่ฟอสเฟต
ข.น้ำตาลกลูโคส N-เบส และหมู่ฟอสเฟต
ค.น้ำตาลดีออกซีไรโบส N-เบส และหมู่ฟอสเฟต
ง.น้ำตาลดีออกซีไรโบส N-เบส
และไตรกลีเซอไรด์
55. หน่วยย่อยของกรดนิวคลีอิกคืออะไร
?
ก.กรดอะมิโน
ข.กลูโคส
ค.นิวคลีโอไทด์
ง.กรดไขมัน
56. พลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกายได้จากการสลายสารอาหารประเภทใดเป็นอันดับแรก
?
ก.ไขมัน
ข.คาร์โบไฮเดรต
ค.โปรตีน
ง.กรดนิวคลีอิก
57. คาร์โบไฮเดรตชนิดใดที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้โดยตรง
?
ก.น้ำตาลมอลโทส
ข.น้ำตาลซูโครส
ค.น้ำตาลกลูโคส
ง.ไกลโคเจน
58. ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของสารประเภทคาร์โบไฮเดรตคือข้อใด
?
ก.ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน
และออกซิเจน
ข.ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน
และไนโตรเจน
ค.ธาตุคาร์บอน ไนโตรเจน
และออกซิเจน
ง.ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน
59. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่สารประเภทโปรตีน
?
ก.ใยแมงมุม
ข.เขาสัตว์
ค.คอเลสเทอรอล
ง.ฮีโมโกลบิน
-11-
60. สารชนิดใดต่อไปนี้จัดเป็นสารประเภทโปรตีน
?
ก.ไกลโคเจน
ข.ไตรกลีเซอไรด์
ค.กรดอะมิโน
ง.กรดนิวคลีอิก
61. วัตถุดิบที่ใช้ในการเตรียมสบู่คืออะไร
?
ก.ไตรกลีเซอไรด์กับกรดอะมิโน
ข.ไตรกลีเซอไรด์กับโซดาไฟ
ค.กรดอะมิโนกับน้ำมันพืช
ง.กลูโคสกับโซดาไฟ
62. การแยกเนื้อยางจากน้ำยางทำได้โดยวิธีใด ?
ก.การเติมกำมะถัน
ข.การเติมเบสบางชนิด
ค.การเติมกรดบางชนิด
ง.การเติมแอมโมเนียเข้มข้น
63. น้ำมันชนิดใดต่อไปนี้จะเกิดการเหม็นหืนได้ง่ายที่สุด
?
ก.น้ำมันมะพร้าว
ข.น้ำมันถั่วเหลือง
ค.น้ำมันรำข้าว
ง.น้ำมันดอกทานตะวัน
64. วัยรุ่นที่มีร่างร่างผอมบาง ปราศจากไขมัน
มีโอกาสขาดวิตามินชนิดใด ?
ก.วิตามินเอ
ข.วิตามินบี 1
ค.วิตามินซี
ง.วิตามินบี 12
65. ข้อใดเป็นประโยชน์ของพอลิเมอร์สังเคราะห์ ?
ก.ใช้ทำอวัยวะเทียม
ข.ใช้ในด้านศัลยกรรมตกแต่ง
ค.ใช้เป็นสารยึดติด เช่น กาว
ง.ถูกทุกข้อ
-12-
66. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของไขมัน
?
ก.ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ข.ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
ค.ช่วยป้องกันการกระแทก
ง.ช่วยป้องกันการสูญเสียความร้อน
67. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่สารชีวโมเลกุล ?
ก.แป้ง
ข.กรดซัลฟูริก
ค.กรดนิวคลีอิก
ง.เซลลูโลส
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน
– หลังเรียน
เรื่อง เคมีพื้นฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่
4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
1. ง
24. ก
47.ค
2. ง
25. ง
48. ค
3. ค
26. ข
49. ก
4. ค
27. ข
50. ค
5. ก
28. ข
51. ง
6. ข
29. ง
52. ค
7. ค
30. ค
53. ก
8. ค
31. ง
54. ค
9. ข
32. ค
55. ค
10. ง
33. ค
56. ข
11. ก
34. ง
57. ค
12. ง
35. ค
58. ก
13. ก
36. ง
59. ค
14. ง
37. ค
60. ค
15. ง
38. ก
61. ข
16. ง
39. ง
62. ค
17. ค
40. ค
63. ก
18. ง
41. ง
64. ก
19. ข
42. ก
65. ง
20. ก
43. ง
66. ก
21. ง
44. ง
67. ข
22. ง
45. ข
23. ก
46.ง
ที่มา
http://www.tlw.ac.th/main/upload/result/stu2555/kme/p45.html
.jpg)
ที่มา
https://krukoongchemistry.wordpress.com/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-3-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1/พอ ลิเมอร์ (Polymer) คือ สารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกุลมากประกอบด้วยหน่วยเล็ก ๆ ของสารที่อาจจะเหมือนกันหรือต่างกันมาเชื่อมต่อกันด้วยพันธะโควาเลนต์
มอนอเมอร์ (Monomer) คือ หน่วยเล็ก ๆ ของสารในพอลิเมอร์ ดังภาพ
ประเภทของพอลิเมอร์ แบ่งตามเกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้
1. แบ่งตามการเกิดเป็นเกณฑ์ เป็น 2 ชนิด คือ
ก . พอลิเมอร์ธรรมชาติ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น โปรตีน แป้ง เซลลูโลส ไกโคเจน กรดนิวคลีอิก และยางธรรมชาติ (พอลีไอโซปรีน)
ข . พอลิเมอร์สังเคราะห์ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากการสังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น พลาสติก ไนลอน ดาครอน และลูไซต์ เป็นต้น
2. แบ่งตามชนิดของมอนอเมอร์ที่เป็นองค์ประกอบ เป็น 2 ชนิด คือ
ก . โฮมอลิเมอร์ (Homopolymer) เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน เช่น แป้ง(ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกลูโคสทั้งหมด) พอลิเอทิลีน PVC (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นเอทิลีนทั้งหมด)
1. แบ่งตามการเกิดเป็นเกณฑ์ เป็น 2 ชนิด คือ
ก . พอลิเมอร์ธรรมชาติ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น โปรตีน แป้ง เซลลูโลส ไกโคเจน กรดนิวคลีอิก และยางธรรมชาติ (พอลีไอโซปรีน)
ข . พอลิเมอร์สังเคราะห์ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากการสังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น พลาสติก ไนลอน ดาครอน และลูไซต์ เป็นต้น
2. แบ่งตามชนิดของมอนอเมอร์ที่เป็นองค์ประกอบ เป็น 2 ชนิด คือ
ก . โฮมอลิเมอร์ (Homopolymer) เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน เช่น แป้ง(ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกลูโคสทั้งหมด) พอลิเอทิลีน PVC (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นเอทิลีนทั้งหมด)
ข . เฮเทอโรพอลิเมอร์ (Heteropolymer) เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ต่างชนิดกัน เช่น โปรตีน (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ที่เป็นกรดอะมิโนต่างชนิดกัน) พอลิเอสเทอร์ พอลิเอไมด์ เป็นต้น
ก. พอลิเมอร์แบบเส้น (Chain length polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์สร้างพันธะต่อกันเป็นสายยาว โซ่พอลิเมอร์เรียงชิดกันมากว่าโครงสร้างแบบอื่น ๆ จึงมีความหนาแน่น และจุดหลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็ง ขุ่นเหนียวกว่าโครงสร้างอื่นๆ ตัวอย่าง PVC พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีน ดังภาพ
ข. พอลิเมอร์แบบกิ่ง (Branched polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ยึดกันแตกกิ่งก้านสาขา มีทั้งโซ่สั้นและโซ่ยาว กิ่งที่แตกจาก พอลิเมอร์ของโซ่หลัก ทำให้ไม่สามารถจัดเรียงโซ่พอลิเมอร์ให้ชิดกันได้มาก จึงมีความหนาแน่นและจุดหลอมเหลวต่ำยืดหยุ่นได้ ความเหนียวต่ำ โครงสร้างเปลี่ยนรูปได้ง่ายเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ตัวอย่าง พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ ดังภาพ
แบบทดสอบก่อนเรียน
– หลังเรียน
เรื่อง เคมีพื้นฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่
4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
แล้วทำเครื่องหมายกากบาท (X)
ลงในกระดาษคำตอบ
1. ปิโตรเลียมเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ก. เกิดจากซากสัตว์ทะเลเล็ก ๆ
ที่ถูกทับถมอยู่ใต้ดิน
ข.เกิดจากซากสัตว์กินพืชจมอยู่ใต้พื้นหินเป็นเวลานาน
ๆ
ค.เกิดจากซากพืชหรือต้นไม้ซึ่งจมอยู่ใต้ดินและหินลึก
ๆ
ง.เกิดจากพืชและสัตว์ทะเลที่ถูกทับถมอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน
ๆ
2. แก๊สโซฮอล์คืออะไร ?
ก.เป็นน้ำมันไบโอดีเซลชนิดหนึ่ง
ข.น้ำมันที่ได้จากการกลั่นลำดับส่วนน้ำมันปาล์ม
ค.เป็นน้ำมันเบนซินชนิดหนึ่งมีคุณภาพเทียบเท่าเบนซิน
91
ง.น้ำมันที่ได้จากการผสมระหว่างน้ำมันเบนซินกับแอลกอฮอล์
3. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแก๊สธรรมชาติ ?
ก.ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
ข.มีราคาถูกกว่าน้ำมัน
ค.เป็นแก๊สชนิดเดียวกับแก๊สหุงต้ม
ง.เผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์กว่าน้ำมันเบนซิน
4. แก๊สแอลพีจี คืออะไร ?
ก.เป็นแก๊สมีเทน
ข.เป็นแก๊สที่ใช้ในอุตสาหกรรมเหล็ก
ค.เป็นแก๊สที่ได้จากการผสมระหว่างโพรเพนกับบิวเทน
ง.เป็นแก๊สชนิดเดียวกับที่ได้จากการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในบ่อเกรอะ
5. ข้อใดเป็นตัวอย่างของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ?
ก.มีเทน และบิวเทน
ข.พลาสติก และเส้นใยไหม
ค.ไขมัน และ คาร์โบไฮเดรต
ง.คาร์โบไฮเดรต และ โปรตีน
-2-
6. การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของสารประเภทไฮโดรคาร์บอนเกิดจากสาเหตุใด
?
ก.มีปริมาณเชื้อเพลิงมากเกินไป
ข.มีปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอ
ค.มีปริมาณของไอน้ำผสมในเชื้อเพลิง
ง.เกิดจากมีสารปรอทปนเปื้อนในสารเชื้อเพลิง
7. การกลั่นลำดับส่วนสารไฮโดรคาร์บอนใดออกมาก่อน
เรียงตามลำดับ ?
ก.แก๊สหุงต้ม เบนซิน
ดีเซล น้ำมันก๊าด
ข.น้ำมันดีเซล น้ำมันก๊าด เบนซิน แก๊สหุงต้ม
ค.แก๊สหุงต้ม เบนซิน
น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล
ง.แก๊สหุงต้ม น้ำมันก๊าด
น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน
8. เหตุใดในกระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติจึงต้องมีหน่วยกำจัดปรอทออกก่อน
?
ก.เพราะไอปรอทมีพิษ
ข.เพราะปรอทเป็นของแข็งจะเกิดการอุดตันท่อ
ค.เพื่อป้องกันการผุกร่อนของท่อจากการรวมตัวกับปรอท
ง.ถูกทุกข้อ
9. ข้อใดเป็นแหล่งพลังงานสำรองในอนาคตของประเทศไทยที่ได้มาจากพืช
?
ก.แก๊สหุงต้ม
ข.ไบโอดีเซล
ค.น้ำมันดีเซล
ง.แก๊สแอลพีจี
10. ปิโตรเลียมประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง ?
ก.น้ำมันกับถ่านหิน
ข.น้ำมันกับหินน้ำมัน
ค.ถ่านหินกับแก๊สธรรมชาติ
ง.น้ำมันกับแก๊สธรรมชาติ
11.ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของน้ำมันและแก๊สธรรมชาติคืออะไร
?
ก.คาร์บอนและไฮโดรเจน
ข.คาร์บอน และออกซิเจน
ค.ไฮโดรเจนและออกซิเจน
ง.คาร์บอน ไฮโดรเจน
และออกซิเจน
-3-
12. วิธีการใดต่อไปนี้ใช้ตรวจสอบหาแหล่งปิโตรเลียมได้
?
ก.การวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ข.การตรวจวัดค่าความโน้มถ่วงของโลก
ค.การสำรวจด้วยการวัดคลื่นไหวสะเทือน
ง.ถูกทุกข้อ
13. ข้อใดเป็นการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมโดยอาศัยวิธีทางธรณีวิทยา
?
ก.การทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
ข.การวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ค.การตรวจวัดค่าความโน้มถ่วงของโลก
ง.การสำรวจด้วยการวัดคลื่นไหวสะเทือน
14. ไฮโดรคาร์บอนชนิดใดต่อไปนี้มีมวลโมเลกุลสูงที่สุด ?
ก.น้ำมันเตา
ข.น้ำมันดีเซล
ค.น้ำมันเบนซิน
ง.ยางมะตอย
15. การเผาไหม้ของน้ำมันเบนซินในข้อใดที่ทำให้เครื่องยนต์เกิดการจุดระเบิดได้ง่ายที่สุด
?
ก.น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน
90
ข.น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน
91
ค.น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน
95
ง.น้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทน
100
16. สารเคมีชนิดใดที่ใช้สำหรับปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันเบนซินได้
?
ก.เอทานอล
ข.เมทานอล
ค.เตตระเมทิลเลด
ง.ถูกทุกข้อ
17. การปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันเบนซินด้วยวิธีการในข้อใดจึงจะทำให้ได้น้ำมันที่ไร้สารตะกั่ว
?
ก.เตตระเอทิลเลด
ข.เตตระเมทิลเลด
ค.เมทิลเทอร์เชียรีบิวทิลอีเทอร์
ง.ข้อ ก และ ข
-4-
18. ข้อดีของการใช้แก็สปิโตรเลียมเหลวคืออะไร ?
ก.ไม่มีมลพิษในอากาศ
ข.มีค่าเลขออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน
ค.ช่วยให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ง.ถูกทุกข้อ
19. ข้อใดเป็นผลที่ได้จากการแยกแก๊สธรรมชาติ ?
ก.บิทูเมน
ข.แก๊สอีเทน
ค.น้ำมันเตา
ง.น้ำมันเบนซิน
20. สารที่ได้จากการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ของแก๊สธรรมชาติคือสารใด
?
ก.น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ข.น้ำและแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์
ค.น้ำ
แก๊สออกซิจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ง.แก๊สออกซิจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
21. ชั้นหินใดต่อไปนี้ที่มีความสามารถในการกักเก็บแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบได้
?
ก.หินทราย
ข.หินตะกอน
ค.หินดินดาน
ง.ข้อ ข และ ค ถูกต้อง
22. โรงงานอุตสาหกรรมประเภทใดที่ควรตั้งอยู่ใกล้กับโรงแยกแก๊สธรรมชาติ
?
ก.อุตสาหรรมผลิตปุ๋ยเคมี
ข.อุตสาหกรรมผลิตน้ำอัดลม
ค.อุตสาหกรรมการผลิตเม็ดพลาสติก
ง.ถูกทุกข้อ
23. ในกระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติ
เพราะเหตุใดจึงต้องแยกแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกก่อน ?
ก.ป้องกันการอุดตันของท่อ
ข.เพื่อแยกคาร์บอนไดออกไซด์
ไปทำน้ำแข็งแห้ง
ค.แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
มีจุดเดือดต่ำกว่าไฮโดรคาร์บอนอื่น
ง.แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ละลายน้ำกลายเป็นกรด
ทำให้อุปกรณ์สึกกร่อน
-5-
24. สารจากธรรมชาติใดจัดเป็นโคพอลิเมอร์
?
ก.โปรตีน
ข.เซลลูโลส
ค.ไกลโคเจน
ง.ยางธรรมชาติ
25. เส้นใยชนิดใดมีความทนทานต่อเชื้อรา แบคทีเรีย
สารเคมี ซักง่าย แห้งเร็ว ?
ก.ฝ้าย
ข.ไหม
ค.ลินิน
ง.ไนลอน
26. ข้อใดเป็นมอนอเมอร์ของสารพอลิเมอร์ที่มีชื่อว่าพอลิเอทิลีน
?
ก.มีเทน
ข.เอทิลีน
ค.เอทิล
ง.มอนอเอทิลีน
27. มอนอเมอร์ของเซลลูโลสคืออะไร ?
ก.แป้ง
ข.กลูโคส
ค.มอลโตส
ง.ไกลโคเจน
28. ข้อใดที่ควรผลิตขึ้นจากเทอร์มอพลาสติก ?
ก.ท่อน้ำ ปลั๊กไฟ
โทรศัพท์
ข.ถังน้ำ เครื่องเล่นเด็ก ผ้าปูโต๊ะ
ค.อ่างน้ำ พรมน้ำมัน
กรอบแว่นตา
ง.ขวดน้ำ ด้ามกระทะ
กระเบื้องยาง
29. พอลิเมอร์ชนิดใดที่เกิดจากการรวมตัวแบบต่อเติมของมอนอเมอร์
?
ก.เซลลูโลส
ข.โปรตีน
ค.ไนลอน
ง.พอลิเอทิลีน
-6-
30. พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบใดที่มีความแข็งมากแต่
ไม่ยืดหยุ่น เมื่อได้รับความร้อนสูงจะแตก ?
ก.โครงสร้างแบบกิ่ง
ข.โครงสร้างแบบเส้น
ค.โครงสร้างแบบร่างแห
ง.โครงสร้างแบบกิ่งและแบบร่างแห
31. ข้อใดเป็นสาเหตุที่ทำให้พลาสติกแต่ละชนิดมีสมบัติแตกต่างกัน
?
ก.เพราะมีโครงสร้างต่างกัน
ข.เพราะมีองค์ประกอบของมอนอเมอร์ต่างกัน
ค.เพราะมีการผลิตจากเม็ดพลาสติกต่างชนิดกัน
ง.ข้อ ก และ ข
32. ข้อใดเป็นข้อแตกต่างระหว่างยางธรรมชาติกับยางสังเคราะห์ ?
ก.มีโครงสร้างไม่เหมือนกัน
ข.มีจำนวนมอนอเมอร์ไม่เท่ากัน
ค.มีความทนต่อสารเคมี
ความร้อน และตัวทำละลายไม่เท่ากัน
ง.ยางสังเคราะห์มีกระบวนการเกิดที่ซับซ้อนมากกว่ายางธรรมชาติ
33. ข้อใดเป็นเส้นใยกึ่งสังเคราะห์
?
ก.ลินิน
ข.ไนลอน 6,6
ค.เรยอน
ง.เซลลูโลส
34. พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบใดเมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว
แต่เมื่ออุณหภูมิลดลงจะแข็งตัวได้เหมือนเดิม ?
ก.โครงสร้างแบบกิ่ง
ข.โครงสร้างแบบเส้น
ค.โครงสร้างแบบร่างแห
ง.โครงสร้างแบบกิ่งและแบบเส้น
35. พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบใดเมื่อได้รับความร้อนจะไม่หลอมและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้
?
ก.โครงสร้างแบบกิ่ง
ข.โครงสร้างแบบเส้น
ค.โครงสร้างแบบร่างแห
ง.โครงสร้างแบบกิ่งและแบบเส้น
-7-
36. พอลิเมอร์ของเทอร์มอพลาสติกมีโครงสร้างแบบใด
?
ก.โครงสร้างแบบกิ่ง
ข.โครงสร้างแบบเส้น
ค.โครงสร้างแบบร่างแห
ง.โครงสร้างแบบกิ่งและแบบเส้น
37. เพราะเหตุใดพลาสติกเทอร์มอเซต
เมื่อขึ้นรูปด้วยการผ่านความร้อนหรือแรงดันแล้วจะไม่สามารถ
นำกลับมาขึ้นรูปใหม่ได้อีก ?
นำกลับมาขึ้นรูปใหม่ได้อีก ?
ก.เพราะพอลิเมอร์มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่โมเลกุลแบบกิ่ง
ข.เพราะพอลิเมอร์มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่โมเลกุลแบบเส้น
ค.เพราะพอลิเมอร์มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่โมเลกุลแบบร่างแห
ง.เพราะพอลิเมอร์มีการเชื่อมต่อระหว่างโซ่โมเลกุลแบบกิ่งและแบบเส้น
38. เส้นใยชนิดใดต่อไปนี้ที่เกิดราได้ง่าย ?
ก.ฝ้าย
ข.เรยอน
ค.เส้นไหม
ง.ลินิน และป่าน
39. พืชชนิดใดที่สามารถให้เส้นใยและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
?
ก.ปอ
ข.กัญชา
ค.สับปะรด
ง.ถูกทุกข้อ
40. การแยกเนื้อยางจากน้ำยางทำได้โดยวิธีใด ?
ก.การเติมกำมะถัน
ข.การเติมเบสบางชนิด
ค.การเติมกรดบางชนิด
ง.การเติมแอมโมเนียเข้มข้น
41. ข้อใดเป็นกระบวนการวัลคาไนเซชัน ?
ก.การทำให้เนื้อยางตกตะกอน
ข.การทำให้น้ำยางไม่บูดเน่า
ค.ใช้การการผลิตยางสังเคราะห์
ง.การทำให้ยางมีความยืดหยุ่นคงรูปมากขึ้น
-8-
42. วัตถุดิบในการผลิตยางสังเคราะห์ได้มาจากแหล่งใด
?
ก.ปิโตรเลียม
ข.น้ำมัน
ค.แก๊สธรรมชาติ
ง.ถ่านหิน
43. ข้อใดเป็นประโยชน์ของพอลิเมอร์สังเคราะห์ ?
ก.ใช้ทำอวัยวะเทียม
ข.ใช้ในด้านศัลยกรรมตกแต่ง
ค.ใช้เป็นสารยึดติด เช่น กาว
ง.ถูกทุกข้อ
44. มอนอเมอร์ของพอลิโพรพิลีนคืออะไร ?
ก.โพรเพน
ข.โพรพีน
ค.แนฟทา
ง.โพรพิลีน
45. ข้อใดเป็นตัวอย่างของผลิตภันณ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น
?
ก.อีเทน โพรเพน
ข.เอทิลีน โพรพิลีน
ค.พอลิเอทิลีน
พอลิโพรพิลีน"
ง.เซลลูโลอะซิเตต เรยอน
46. ข้อใดเป็นการแปลงสภาพของโปรตีน ?
ก.โปรตีนตกผลึก
ข.พันธะเพปไทด์ในโมเลกุลโปรตีนถูกทำลาย
ค.พันธะเพปไทด์
และพันธะไฮโดรเจนในโมเลกุลของโปรตีนถูกทำลาย
ง.พันธะไฮโดรเจน
ในโมเลกุลถูกทำลาย แต่พันธะเพปไทด์ไม่ถูกทำลาย
47.โปรตีนแต่ละชนิดต่างกันดังต่อไปนี้ ยกเว้นข้อใด ?
ก.ชนิดของกรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบ
ข.จำนวนของกรดอะมิโนในแต่ละโมเลกุล
ค.ชนิดของธาตุพื้นฐานสำคัญที่เป็นองค์ประกอบ
ง.ลำดับและการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโนในพอลิเพปไทด์
-9-
48. สารอาหารประเภทใดให้พลังงานแก่ร่างกาย
?
ก.คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำ
ข.เกลือแร่ น้ำ ไขมัน
ง.คาร์โบไฮเดรต ไขมัน
โปรตีน
ง.โปรตีน คาร์โบไฮเดรต
เกลือแร่
49. ข้อใดกล่าวถึงไขมันและน้ำมันได้ถูกต้อง ?
ก.เป็นสารประกอบพวกไตรกลีเซอไรด์
ข.ประกอบด้วยกลีเซอรอลที่มีองค์ประกอบเป็นกรดไขมัน
ค.เป็นสารโมเลกุลใหญ่เกิดจากการรวมตัวกันของกรดไขมัน
ง.ประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเดี่ยว
50. บทบาทที่สำคัญของกรดนิวคลิอิกคืออะไร ?
ก.ช่วยในการเจริญเติบโต
ข.สลายให้พลังงาน
ค.ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ง.เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสมดุลของน้ำและกรด-เบส
51. น้ำมันและไขมันแตกต่างกันอย่างไร ?
ก.มีองค์ประกอบที่ต่างกัน
ข.มีโครงสร้างของกลีเซอรอลต่างกัน
ค.มีจำนวนของกรดไขมันไม่เท่ากัน
ง.มีสถานะที่อุณหภูมิห้องไม่เหมือนกัน
52. ข้อใดคือประโยชน์ในทางโภชนาการเมื่อโปรตีนเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพ
?
ก.ช่วยทำให้เชื้อโรคตาย
ข.ช่วยในการรักษาโรคมะเร็ง
ค.ช่วยทำให้โปรตีนย่อยได้ง่ายขึ้น
ง.ช่วยแก้พิษเมื่อคนไข้ดื่มยาพิษที่เป็นสารประกอบของสารโลหะหนัก
53. ถ้านักเรียนรับประทานเฉพาะอาหารมังสวิรัติ
นักเรียนจะมีโอกาสขาดสารอาหารประเภทใด ?
ก.โปรตีน
ข.คาร์โบไฮเดรต
ค.ไขมันและน้ำมัน
ง.กรดนิวคลีอิก
-10
54. นิวคลีโอไทด์ของดีเอ็นเอประกอบด้วยสารใดต่อไปนี้
?
ก.น้ำตาลไรโบส N-เบส และหมู่ฟอสเฟต
ข.น้ำตาลกลูโคส N-เบส และหมู่ฟอสเฟต
ค.น้ำตาลดีออกซีไรโบส N-เบส และหมู่ฟอสเฟต
ง.น้ำตาลดีออกซีไรโบส N-เบส
และไตรกลีเซอไรด์
55. หน่วยย่อยของกรดนิวคลีอิกคืออะไร
?
ก.กรดอะมิโน
ข.กลูโคส
ค.นิวคลีโอไทด์
ง.กรดไขมัน
56. พลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกายได้จากการสลายสารอาหารประเภทใดเป็นอันดับแรก
?
ก.ไขมัน
ข.คาร์โบไฮเดรต
ค.โปรตีน
ง.กรดนิวคลีอิก
57. คาร์โบไฮเดรตชนิดใดที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้โดยตรง
?
ก.น้ำตาลมอลโทส
ข.น้ำตาลซูโครส
ค.น้ำตาลกลูโคส
ง.ไกลโคเจน
58. ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของสารประเภทคาร์โบไฮเดรตคือข้อใด
?
ก.ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน
และออกซิเจน
ข.ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน
และไนโตรเจน
ค.ธาตุคาร์บอน ไนโตรเจน
และออกซิเจน
ง.ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน
59. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่สารประเภทโปรตีน
?
ก.ใยแมงมุม
ข.เขาสัตว์
ค.คอเลสเทอรอล
ง.ฮีโมโกลบิน
-11-
60. สารชนิดใดต่อไปนี้จัดเป็นสารประเภทโปรตีน
?
ก.ไกลโคเจน
ข.ไตรกลีเซอไรด์
ค.กรดอะมิโน
ง.กรดนิวคลีอิก
61. วัตถุดิบที่ใช้ในการเตรียมสบู่คืออะไร
?
ก.ไตรกลีเซอไรด์กับกรดอะมิโน
ข.ไตรกลีเซอไรด์กับโซดาไฟ
ค.กรดอะมิโนกับน้ำมันพืช
ง.กลูโคสกับโซดาไฟ
62. การแยกเนื้อยางจากน้ำยางทำได้โดยวิธีใด ?
ก.การเติมกำมะถัน
ข.การเติมเบสบางชนิด
ค.การเติมกรดบางชนิด
ง.การเติมแอมโมเนียเข้มข้น
63. น้ำมันชนิดใดต่อไปนี้จะเกิดการเหม็นหืนได้ง่ายที่สุด
?
ก.น้ำมันมะพร้าว
ข.น้ำมันถั่วเหลือง
ค.น้ำมันรำข้าว
ง.น้ำมันดอกทานตะวัน
64. วัยรุ่นที่มีร่างร่างผอมบาง ปราศจากไขมัน
มีโอกาสขาดวิตามินชนิดใด ?
ก.วิตามินเอ
ข.วิตามินบี 1
ค.วิตามินซี
ง.วิตามินบี 12
65. ข้อใดเป็นประโยชน์ของพอลิเมอร์สังเคราะห์ ?
ก.ใช้ทำอวัยวะเทียม
ข.ใช้ในด้านศัลยกรรมตกแต่ง
ค.ใช้เป็นสารยึดติด เช่น กาว
ง.ถูกทุกข้อ
-12-
66. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของไขมัน
?
ก.ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ข.ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
ค.ช่วยป้องกันการกระแทก
ง.ช่วยป้องกันการสูญเสียความร้อน
67. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่สารชีวโมเลกุล ?
ก.แป้ง
ข.กรดซัลฟูริก
ค.กรดนิวคลีอิก
ง.เซลลูโลส
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน
– หลังเรียน
เรื่อง เคมีพื้นฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่
4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

1. ง
|
24. ก
|
47.ค
|
2. ง
|
25. ง
|
48. ค
|
3. ค
|
26. ข
|
49. ก
|
4. ค
|
27. ข
|
50. ค
|
5. ก
|
28. ข
|
51. ง
|
6. ข
|
29. ง
|
52. ค
|
7. ค
|
30. ค
|
53. ก
|
8. ค
|
31. ง
|
54. ค
|
9. ข
|
32. ค
|
55. ค
|
10. ง
|
33. ค
|
56. ข
|
11. ก
|
34. ง
|
57. ค
|
12. ง
|
35. ค
|
58. ก
|
13. ก
|
36. ง
|
59. ค
|
14. ง
|
37. ค
|
60. ค
|
15. ง
|
38. ก
|
61. ข
|
16. ง
|
39. ง
|
62. ค
|
17. ค
|
40. ค
|
63. ก
|
18. ง
|
41. ง
|
64. ก
|
19. ข
|
42. ก
|
65. ง
|
20. ก
|
43. ง
|
66. ก
|
21. ง
|
44. ง
|
67. ข
|
22. ง
|
45. ข
|
|
23. ก
|
46.ง
|
|
http://www.tlw.ac.th/main/upload/result/stu2555/kme/p45.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น